วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Harry Potter @buu

                                               แฮร์รี่ พอตเตอร์                         


                                ประวัติคนเขียน   harry potter


ประวัติคนเขียนharry potterวันนี้จะพามารู้จักผู้แต่งวรรณกรรมเรื่อง "แฮร์รี่ พอตเตอร์" กันค่ะ เริ่มจากประวัติของผู้แต่งวรรณกรรมกันเลยนะค่ะ โจแอนน์ "โจ" โรว์ลิ่ง ( Joanne "Jo" Rowling, OBE ) หรือ ที่เรา ๆ ท่าน ๆ รู้จักกันในนามปากกาของเธอว่า "เจ.เค. โรว์ลิ่ง" นั้นเองค่ะ เจ.เค. โรว์ลิ่ง เกิดเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2508 เจ.เค.โรว์ลิ่ง เป็นผู้แต่งวรรณกรรมเรื่อง "แฮร์รี่ พอตเตอร์" เจ.เค. โรว์ลิ่ง มีทรัพย์สินร่วม ๆ 2,000 ล้านบาท ปัจจุบันได้ขึ้นทำเนียบเป็นบุคคลที่รวยที่สุด อันดับที่ 122 ของ ประเทศอังกฤษ ไปซะแล้ว ดีใจจริง ๆ เลย อุ๊ย! ลืมตัวไปหน่อยนึกว่าเป็นตัวเราเอง ^^

เจ.เค. โรว์ลิ่ง เธอเกิดมาในครอบครัวของนักอ่าน บิดามารดาชอบสะสมหนังสือไว้มากมาย...ถึงว่าซิ เจ.เค โรว์ลิ่ง ได้สายเลือดมาจากใคร ปีเตอร์ พ่อของ เจ.เค. โรว์ลิ่ง เป็นวิศวกร ในขณะที่ แอนด์ แม่ของ เจ.เค. โรว์ลิ่ง เป็นลูกครึ่งฝรั่งเศส-สกอตต์ แม่ของ เจ.เค. โรว์ลิ่ง ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านดูแลเจ.เค. และ ดี น้องสาวของเธอ โจแอนเขียนหนังสือเรื่องแรกของเธอมีชื่อว่า "Rabbit" เมื่ออายุเพียงห้าขวบ และพ่อกับแม่ของเจ.เค. โรว์ลิ่ง ก็กระตือรือร้นในการปลูกฝังจินตนาการของลูกสาวคนโต เมื่อโจแอนอายุได้ 14 ปี แม่ของเธอก็ล้มป่วยลงด้วยโรคเส้นโลหิตตีบ

ต่อมาเมื่อ เจ.เค. โรว์ลิ่ง เรียนจบชั้นมัธยมศึกษา เจ.เค. โรว์ลิ่ง ก็เข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีทางด้านภาษาฝรั่งเศส และวรรณกรรมคลาสิกที่มหาวิทยาลัยเอ็กซีเตอร์ ( เจ.เค. เธอแต่งเรื่องสั่นไว้หลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน ) แต่หลังจาก เจ.เค. โรว์ลิ่งเรียนจบแล้ว เจ.เค. โรว์ลิ่ง ก็เดินทางมุ่งหน้าไปสู่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เลยค่ะ และได้งานเป็นเลขานุการขององค์การนิรโทษกรรมระหว่างประเทศซะด้วย
แล้ว เจ.เค.โรว์ลิ่ง ไปเกี่ยวกับ "แฮร์รี่ พอตเตอร์" ตอนไหน ใจเย็น ๆ ค่ะ กำลังจะเล่าให้ฟังพอดีเลย คือว่า ในปี ค.ศ. 1990 ขณะที่ เจ.เค.โรว์ลิ่ง กำลังเดินทางโดยนั่งอยู่บนรถไฟ ( เอ ! รถไฟฟ้า BTS บ้านเราหรือเปล่านะ...ไม่ใช่ค่ะ..ไม่ใช่ ) เป็นรถไฟระหว่างสถานีแมนเชสเตอร์ และ คิงส์ครอส ในลอนดอนค่ะ ในระหว่างที่นั่งอยู่บนรถไฟ ทันใดนั้น เจ.เค. โรว์ลิ่ง ก็มีไอเดียปิ๊งขึ้นมาในสมองชั่วแว่บหนึ่ง ความคิดที่แว่บขึ้นมาก็คือ เกี่ยวกับเด็กกำพร้าผู้ค้นพบว่าเขาคือพ่อมด เท่านั้นเอง เจ.เค.โรว์ลิ่ง ก็รีบตรงดิ่งกลับบ้านและบันทึกเจ้าความคิดทั้งหลายลงบนกระดาษทันที (ฮิฮิ..กลัวลืมหล่ะซิ เจ.เค.) ณ เวลานั้น มีใครจะรู้บ้างว่าเจ้าความคิดที่แว่บขึ้นมาในครั้งนั้น มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของโปรเจกต์ที่จะเสร็จสมบูรณ์ในอีกหกปีต่อมา และจะนำพาให้ เจ.เค.โรว์ลิ่ง เลขานุการขององค์การนิรโทษกรรมระหว่างประเทศ ได้มีชื่อเสียงและร่ำรวยอย่างมหาศาล เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกก็ว่าได้ ( นึก ๆ แล้ว เราจะมีความคิดแว่บ ๆ แบบ เจ.เค. โรว์ลิ่ง บ้างไหมหนอ ) เอาหล่ะมาฝอยกันต่อดีกว่า ต่อจากนั้น เจ.เค.โรว์ลิ่ง ก็ย้ายไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ที่ประเทศโปรตุเกส ณ ที่แห่งนั้น เธอก็ได้พบรักเข้าแล้ว เจ.เค.โรว์ลิ่ง ได้แต่งงานกับนักหนังสือพิมพ์ชาวโปรตุเกส และมี เจ.เค. โรว์ลิ่ง ตัวน้อย ๆ เป็นลูกสาวหนึ่งคน ชื่อ "เจสสิก้า" แต่ความรักของเธอกับนักหนังสือพิมพ์ชาวโปรตุเกส ก็ไปไม่ถึงไหน ทั้งคู่ก็ต้องแยกทางกัน ( สงสารหนูน้อย "เจสสิก้า" จัง ) เจ.เค. โรว์ลิ่ง หอบลูกน้อยย้ายไปอยู่ที่สกอตแลนด์
ช่วงระหว่างที่ เจ.เค. โรว์ลิ่ง กลายเป็นคนว่างงานและเลี้ยงชีพของตนเองกับลูกสาวด้วยเงินช่วยเหลือของรัฐบาล เจ.เค.โรว์ลิ่ง ก็ใช้เวลาว่างในการเขียนนวนิยายเกี่ยวกับเด็กชายพ่อมดที่เธอได้เริ่มเขียนไว้นานแล้วให้จบ เจ.เค.โรว์ลิ่ง เคยให้สัมภาษณ์ว่าตัวเธอเองเลี้ยงลูกสาวตามลำพังด้วยเช็คสังคมสงเคราะห์ มูลค่า 70 ปอนด์ต่ออาทิตย์ อาศัยอยู่ในแฟลตโลโซ (หนูชุม) ค่าเช่าแฟลตอาทิตย์ละ 230 ปอนด์ ( โอโห! อยู่ได้ไงเนี่ย ค่าเช่าแฟลตมันสูงกว่าที่ได้เช็คสังคมสงเคราะห์ซะอีก ) แต่ เจ.เค. โรว์ลิ่ง เธออยู่ได้ค่ะ เพราะเจ.เค. โรว์ลิ่ง ได้พาลูกสาวมาเลี้ยงอยู่ที่ร้านกาแฟของน้องเขยทุกวัน พลางก็เขียนนวนิยายที่กลายเป็น Bestseller ไปทั่วโลก เจ.เค. โรว์ลิ่ง เสนอผลงานของเธอไปยังสำนักพิมพ์หลายต่อหลายแห่ง แต่ก็ถูกปฏิเสธ ( แหม! ถ้าตอนนั้น ถ้ารู้ว่านวนิยายเรื่อง "แฮร์รี่ พอตเตอร์" จะดังทะลุฟ้าในเวลาต่อมา ก็คงมีแต่คนรีบรับแน่นอน...แต่มันสายไปแล้วนะค่ะ คุณสำนักพิมพ์ทั้งหลายที่ปฏิเสธผลงานของ เจ.เค. ) แต่หลังจากถูกปฏิเสธ จากหลายสำนักพิมพ์หลายแห่ง ในที่สุด โชคก็เข้าข้างเจ.เค. ค่ะ เจ.เค.โรว์ลิ่ง ก็ได้ขายลิขสิทธิ์เรื่องนี้ได้โดยได้รับเงินราว 4,000 ดอลลาร์
Harry Potter and the Philosopher's Stone เป็นผลงานชิ้นแรกของ เจ.เค.โรว์ลิ่ง ที่ได้โอกาสตีพิมพ์ครั้งแรก ไปเมื่อปี ค.ศ. 1997 ด้วยยอดพิมพ์ต่ำกว่า 1,000 ฉบับ โดยเจ้าของสำนักพิมพ์แนะนำให้เธอใช้ตัว เจ. ที่เป็นตัวย่อชื่อหน้าของเธอเป็นนามปากกา ดีกว่าที่จะใช้ชื่อจริงของเธอว่า "โจแอนด์" ทั้งนี้ เนื่องจากนักอ่านที่เป็นเด็กผู้ชายอาจจะไม่ชอบที่รู้ว่าหนังสือที่เขาอ่านเป็นผลงานเขียนของผู้หญิง โดยตัวย่อชื่อกลางอย่างตัว เค. นั้นเธอยืมมาจาก "เคธลีน" ซึ่งเป็นชื่อของย่าเธอนั้นเอง เท่านี้เพื่อน ๆ ก็ทราบกันแล้วใช่ไหมค่ะว่า ชื่อย่อ เจ.เค. มาจากไหน
หลังจากที่ผลงานเล่มแรกของเธอเปลี่ยนหัวให้เป็น Harry Potter and the Sorcerer's Stone สำหรับการจัดจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาฯ เมื่อ ปี ค.ศ. 1998 ทั้งโลกก็ได้รู้จักกับปรากฎการณ์ "แฮร์รี่ พอตเตอร์ ฟีเวอร์" ไปทันที
เมื่อ เจ.เค. โรว์ลิ่ง ผลิตผลงานมาทุกปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 ถึงปี ค.ศ. 2000 เธอก็หยุดพัก ซึ่งเป็นระยะห่างของเวลาถึง 3 ปี ระหว่าง Harry Potter and the Goblet of Fire ผลงานเล่มที่ 4 และ Harry Potter and the Order of the Phoenix ผลงานเล่มที่ 5 ที่ออกสู่สายตาประชาชนแฟนหนังสือเมื่อปี ค.ศ. 2003 ซึ่งช่วงที่เว้นว่างนั้นเอง เจ.เค.โรว์ลิ่ง ได้แต่งงานใหม่อีกครั้ง กับ นิล เมอร์เรย์ นายแพทย์ชาวสก็อตต์ ก่อนที่เจ.เค. โรว์ลิ่ง จะย้ายมาอยู่ด้วยกันในบ้านที่เอดินเบรอะ ร่วมกันกับลูก ๆ ทั้ง 2 คนของพวกเขา ทั้ง เดวิด วัย 4 ขวบ และ แม็คเคนซี วัย 2 ขวบ รวมทั้ง เจสซิกา ลูกสาวที่เกิดจากอดีตสามีนักข่าวชาวโปรตุเกส
ในปี ค.ศ. 1997 "แฮร์รี่ พอตเตอร์กับศิลาอาถรรพ์" ตีพิมพ์ครั้งแรกและประสบความสำเร็จอย่างเหนือความคาดหมาย แฮร์รี่ พอตเตอร์ เล่มต่อ ๆ ไปที่ตามออกมาก็กลายเป็นหนังสือที่เป็นที่นิยมที่สุดในหมู่ผู้อ่าน และหนังสือ "แฮร์รี่ พอตเตอร์" ก็ยังได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ กว่า 60 ภาษา และขายใน 200 ประเทศทั่วโลก


 
 
ประวัตินักแสดงนำ Harry potter \

แดเนียล แรดคลิฟฟ์ (แฮรี่ พอตเตอร์) อายุ 16 ปี ได้กลับมารับบทแฮร์รี่ พอตเตอร์อีกครั้งหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter and the Goblet of Fire ภาคที่สี่ในภาพยนตร์ชุดเรื่องดัง Harry Potter

การเข้ามารับบทเป็นแฮร์รี่ พอตเตอร์ พ่อมดน้อย ทำให้แดเนียลได้รับการยอมรับ จากทั่วโลกและจากรับรางวัลจาก Variety Club ของ Great Britain’s Best Newcomer Award ซึ่งออกฉายในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2002 ในช่วงเดือนเมษายนปี 2002 นั้นเขายังได้รับเกียรติรับรางวัลอันทรงเกียรติ David Di Donatello Award ซึ่งมอบให้โดย Intaly’s Ente David Di Donatello
สำหรับบทบาทอันยอดเยี่ยมที่เขาแสดงเป็นแฮร์รี่และสำหรับ ความทุ่มเทของเขาที่มีให้กับอนาคตของภาพยนตร์
แดเนียล ได้เริ่มงานแสดงทางโทรทัศน์ของ British Channel ในเดือนธันวาคมปี 1999 เมื่อเขารับบทของเดวิด คอพเพอร์ฟิลด์ ในตอนเด็กทางโทรทัศน์ช่อง BBC โดยได้รับการกล่าวขวัญเป็น อย่างมากจากเรื่อง David Copperfield ซึ่งเป็นดราม่าที่กำกับ การแสดงโดยไซมอน เคอร์ติส โดยรับบทเป็น ดาม แมคกี้ สมิธซึ่งในตอนนี้ได้ร่วมแสดงกับเขาเป็นศาตราจารย์ มักกอนนากัล
ก่อนหน้าที่จะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Harry Potter ในตอนแรกเขา ได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแรกของเขาโดยแสดงเป็นลูกชายของ เจมี่ ลี เคอร์ติสและเจฟฟรีย์ รัช
ในผลงานของ จอห์น บอห์แมนเรื่อง The Tailor of Panama
ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคมปี 2002 เขายังได้เป็นแขกรับเชิญแบบเซอร์ไพร์ซให้กับคอมเมดี้ที่ได้รับ รางวัลหลายตอนของ โอลิวิเยร์ เรื่อง The Play What I Wrote ซึ่งกำกับการแสดงโดย เคนเน็ธ บรานาห์ ที่โรงละคร Wyndhams Theatre ในย่านลอนดอน เวสท์ เอนด์
ในช่วงเวลาว่าง แดเนียลสนใจทางด้านภาพยนตร์และดนตรีโดยเฉพาะอย่างยิ่งวงดนตรีเพลงร๊อคและวงอินดี้ของ ประเทศอังกฤษ


เรื่องย่อ Harry potter
เปิดฉากที่งานแต่งงานของบิลและเฟลอร์ หลังงานแต่ง แฮรี่ลาเพื่อนๆเพื่อที่จะตามหา Horcruxes และไม่กลับไปฮอกวอร์ตแม้ว่าเพื่อนๆจะขอติดตามไปด้วยแต่แฮรี่ก็แอบหนีไปคนเดียวฮ็อกวอร์ตถึงแม้จะยังเปิดสอนภายใต้อาจารย์ใหญ่คนใหม่ มัคกอลนากัลแต่นักเรียนที่กลับมาในปีนี้ ก็ลดจำนวนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด D.A.กลับมารวมกลุ่มกันอีกครั้งและครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ห้องลับเป็นชมรมอีกแล้วเพราะอาจารย์ในโรงเรียนต่างก็ยอมรับ และกลุ่ม Order of Phoenixผลัดกันมาช่วยสอนทำให้วิชา Defense against dark art ของกลุ่มพัฒนาไปอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะเนวิลล์ และจินนี่ และกลุ่ม D.A.ก็เฝ้ารอว่าสักวันแฮรี่จะส่งสัญญาณให้พวกเขาเข้าช่วยในการปราบโวลเดอร์มอร์ฝ่ายแฮรี่ ได้รับการช่วยเหลือจากบุคคลลึกลับทำให้รู้การเคลื่อนไหวของโวลเดอร์มอร์และสามารถขัดขวางโวลเดอร์มอร์ได้หลายครั้ง รวมถึงร่องรอยของ R.A.B.ด้วยและเมื่อตามรอย R.A.B. ไปถึงอัซคาบัล เขาจึงค้นพบว่า R.A.B.แท้จริงคือน้องชายของซีเรียส แบล็ค ที่ถูกคุมขังในอัซคาบัลซึ่งได้ตายไปแล้วโดย R.A.B.ซึ่งเป็นลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ของโวลเดอร์มอร์เป็นผู้ช่วยของโวลเ ดอร์มอร์ในการทำHorcruxes และนำไปซ่อน แต่ต่อมา R.A.B.ระแวงว่าโวลเดอมอร์กำลังจะกำจัดเขาเพื่อปิดปากไม่ให้เรื่อง Horcruxes รั่วไหล เขาจึงแอบไปเก็บHorcruxesมาเปลี่ยนที่ซ่อน โดยเขารู้ Horcruxesจำนวนห้าชิ้น(อีกสองชิ้นคือตัวโวลเดอร์มอร์ และงู)และได้กระจายไปยังญาติๆตระกูลแบล็คเพื่อเก็บรักษา(ไดอารี่เก็บไว้ที่แม่ของมัลฟอย)แฮรี่ขอความช่วยเหลือจากท็องส์เพื่อสืบหาคนในตระกูลแบล็คที่น่า จะเก็บของที่เหลืออีกสามชิ้น (สองชิ้นเจอแล้ว) และพบว่าชิ้นหนึ่งอยู่ที่เบลลาทริกซ์ซึ่งแฮรี่และท็องส์สามารถกำจัดเบลล่า และทำลาย horcruxes ได้อีกชิ้นหนึ่งเป็นสมบัติของซีเรียส แบล็ค ที่อยู่ใกล้ตัวแฮรี่มากๆแต่แฮรี่มองข้ามไป จนกว่าจะรู้ตัวก็เกือบไม่ทัน ( R.A.Bก็เข้าใจว่าซีเรียสเป็นDead eater จึงเก็บไว้กับซีเรียสส่วนนึง)และอีกส่วนหนึ่งซึ่งยังหาไม่เจอและคาดว่า R.A.B.จะเก็บไว้เองในขณะเดียวกันที่ฮอกวอร์ต เฮอร์ไมโอนี่ (ซึ่งติดต่อกับแฮรี่และรู้เรื่องราวโดยตลอด)ก็จับสังเกตในตัวครีเชอร์ได้และสันนิษฐานว่าHorcruxes อีกชิ้นซ่อนอยู่ในบ้านของแบล็คที่ปัจจุบันตกเป็นของแฮรี่แฮรี่กลับไปที่บ้านเลขที่ 12 และค้นหาจนเจอ Horcruxและทำลายจนสำเร็จและเขารู้ว่าถ้าเขาฆ่างูได้สำเร็จโวลเดอร์มอร์ก็จะเหลือแค่ชีวิตเดียวด้วยความช่วยเหลือของบุคคลลึกลับแฮรี่สามารถแฝงกายเข้าไปในที่กบดารของโวลเดอร์มอร์ได้และเขาพยายามหาทางฆ่างูของโวลเดอร์มอร์จนสำเร็จและขณะจะเข้าไปลุยโวลเดอร์มอร์แบบยอมตาย(เพราะเข้าใจว่าเหลือจิ ตเดียวแล้ว)แต่โดนสเนปขัดขวาง ด้วยความโกรธแค้น แฮรี่ฆ่าสเนปจนตายก่อนพบว่านี่เป็นกับดักที่ล่อให้เขามาติดกับแต่ทันใดนั้นมัลฟอยก็โผล่มาช่วยแฮรี่ได้ทัน และหนีไปที่ฮอกวอร์ตที่ฮอกวอร์ตมัลฟอยเล่าให้ฟังว่าสเนปคือคนที่ส่งความเคลื่อนไหวของโวลเดอร์ม อร์ให้แฮรี่และOrder of Phenix มาโดยตลอดอย่างลับๆทำให้โวลเดอร์มอร์ไม่สามารถทำอะไรได้สะดวกแฮรี่ไม่ยอมเชื่อจนพบความทรงจำของดัมเบิลดอร์และพบว่าเป็นตอนที่ดัมเบิลดอร์ขอร้องให้สเนปฆ่าเขาเพื่อแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มโวลเดอร์มอร์ได้สนิทมัลฟอยเล่าให้ฟังว่าสเนปสามารถโน้มน้าวมัลฟอยให้ถอนตัวจาก Deadeater ได้แต่โวลเดอร์มอร์ก็สงสัยจึงวางแผนให้สเนปส่งข่าวผิดๆให้แฮรี่เพื่อวางกับดักเพื่อล่อทั้งแฮรี่และสเนป และมัลฟอยยังบอกอีกว่างูไม่ใช่ Horcruxที่แท้จริงแต่โวลเดอร์มอร์หลอกให้แฮรี่ตายใจเท่านั้น สรุป ยังมี horcruxที่หลงเหลืออยู่และไม่รู้ว่าเป็นอะไร แฮรี่เสียใจมากที่ตัวเองฆ่าเสเนปไปทันใดนั้น โวลเดอร์มอร์ และ กลุ่ม Dead eaterก็บุกเข้ามาในฮอกวอร์ต กลุ่มD.A.ช่วยกันสู้เต็มที่แต่ก็ต้านไว้แทบไม่ไหวโวลเดอร์มอร์ไล่ล่าแฮรี่ด้วยตัวเองจนเหลือแต่แฮรี่และเนวิลล์ในห้องของอาจารย์ใหญ่ และตัวโวลเดอร์มอร์โวลเดอร์มอร์เฉลยว่า Horcruxอีกอันนึงก็คือแผลเป็นบนหน้าผากแฮรี่(โดยการฆ่าเจมส์พอตเตอร์เพื่อสร้างhorcrux นี้) และเป็น Horcrux ที่จะทำให้โวลเดอร์มอร์ชนะเพราะจากคำทำนายจะมีผู้รอดชีวิตเพียงคนใดคนหนึ่ง ซึ่งถ้าแฮรี่รอดนั่นก็หมายถึงโวลเดอร์มอร์รอดด้วย ซึ่งจะไม่เป็นตามคำทำนายฉะนั้นแฮรี่จึงต้องเป็นฝ่ายตายแฮรี่ยังคงสู้กับโวลเดอร์มอร์เต็มที่แม้จะได้ยินอย่างนั้น เขาใช้ดาบกริฟฟินดอร์สู้กับโวลเดอร์มอร์ก่อนจะโยนดาบให้เนวิลล์และร้องบอกให้เนวิลล์แทงโวลเดอร์มอร์โวลเดอร์มอร์มัวแต่ระวังแฮรี่จึงโดนเนวิลล์แทงจนตายแฮรี่บอกเนวิลล์และทุกคนว่าคำทำนายจริงๆหมายถึงเนวิลล์ ไม่ใช่แฮรี่(แต่โวลเดอร์มอร์ไม่รู้เพราะเขาได้ยินคำทำนายมาจากสเนปอีกทีซึ่งไม่ครบถ้วนทำให้เขาคิดว่าเป็นแฮรี่) แต่ที่แฮรี่มีอำนาจพิเศษต่างๆเช่นภาษางูหรือเชื่อมจิตใจกับโวลเดอร์มอร์ได้เป็นเพราะแผลเป็นซึ่งเป็นhorcrux นั่นเองและพอเขารู้ตัวว่าเป็นเพราะเหตุนี้จึงคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ที่เนวิลล์(ซึ่งไม่อยู่ในสายตาโวลเดอร์มอร์) อาจเป็นคนในคำทำนายก็ได้ซึ่งเขาคิดถูกแฮรี่รู้ตัวว่า Horcrux แผลเป็นกำลังมีพลังมากขึ้นและกำลังจะครอบงำเขาให้เขาเป็นโวลเดอร์มอร์ต่อไป จึงขอร้องให้เนวิลล์กำจัดเขาอีกคนเนวิลล์ไม่ยอมแฮรี่จึงบอกว่าหลายคนเสียสละชีวิตเพื่อกำจัดลอร์ดโวลเดอร์มอร์ดัมเบิลดอร์สเนปซีเรียส รวมถึงพ่อและแม่ของเนวิลล์ซึ่งการตายของแฮรี่เทียบไม่ได้กับคนอื่นเนวิลล์กลั้นใจกำจัดแฮรี่ที่งานศพของแฮรี่ ป้าเพ็ตทูเนียมาร่วมงานศพ และเล่าให้ทุกคนฟังว่าโวลเดอร์มอร์ขณะเป็นทอม ริดเดิ้ล ได้พบรักกับหญิงธรรมดาคนหนึ่งและมีลูกสาวสองคน แต่พอทอมเริ่มเปลี่ยนมาเป็นโวลเดอร์มอร์ทำให้ผู้หญิงคนนั้นเริ่มทนไม่ได้และหนีไปโดยความช่วยเหลือของดัมเบิลดอร์ดัมเบิลดอร์ช่วยให้เธอหลบซ่อน เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามและใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาที่สุด ลูกสาวคนโต ซึ่งเป็นสควิปไม่มีเวทมนตร์ใดๆและเกลียดโลกของเวทมนตร์มาก แต่ลูกสาวคนเล็กซึ่งมีวี่แววความเป็นแม่มดตั้งแต่เด็กได้เข้าเรียนในฮอกวอร์ตภายใต้ชื่อลิลลี่อีแวน ซึ่งตอนที่โวลเดอร์มอร์ฆ่าเจมส์ และกำลังทำ horcruxบนตัวแฮรี่ลิลลี่เข้ามาขัดขวาง และด้วยพลังความรักของแม่และความเป็นสายเลือดเดียวกันกับโวลเดอร์มอร์ทำให้เมื่อโวลเดอร์มอร์จะกำจัดลิลลี่เกิดพลังย้อนกลับทำร้ายโวลเดอร์มอร์จนร่างกายสูญสลายไปและเนื่องจากเหลือแฮรี่คนเดียวทุกคนจึงเข้าใจว่าแฮรี่มีพลังบางอย่างที่ทำลายโวลเดอร์มอร์(แต่ความจริงเป็นลิลลี่) และมีแต่ดัมเบิลดอร์ที่รู้ความจริงและเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พี่สาวลิลลี่ฟังเพื่อขอร้องให้เธอรั บเลี้ยงเด็กชายผู้รอดชีวิต

1 ความคิดเห็น: